3.กลยุทธ์ซ้อนเร้น
Comworld Thailand 2006 กลยุทธ์โฆษณาต้มตุ๋นซ่อนเร้น
หากจะนึกถึงงานแสดงและจัดจำหน่ายสินค้าไอทีในเมืองไทยที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
คงจะต้องนึกถึงงาน Commart และน้องใหม่ Comworld สำหรับท่านที่เคยได้ไปลองสัมผัส
บรรยากาศภายในงานเหล่านี้คงจะนึกสภาพตลาดสดสินค้าไอทีได้ไม่ยากนัก
ถึงแม้ว่าจุดเด่นของงานที่ประชาสัมพัทธ์ออกมานั้นจะมุ่งถึงการแสดงนวัตกรรมไอทีใหม่ๆ
และพยายามที่จะเทียบเคียงงานแสดงนวัตกรรมไอทีของต่างประเทศ แต่ผลงานทุกๆ ครั้ง
ที่ออกมานั้น งานเหล่านี้ก็เป็นได้เพียงแค่ "งานตลาดสดไอที" ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่มโหราฬเท่านั้น
งานตลาดสดไอทีเหล่านี้เป็นต้นเหตุของการต้มตุ๋นที่แยบยลและยิ่งใหญ่เกือบจะทุกๆ ครั้ง
เนื่องมาจากสินค้าส่วนใหญ่ภายในงานที่ดูเหมือนจะลดราคานั้น จริงๆ แล้วหากซื้อภายนอกงาน
ราคาอาจจะต่ำกว่าซื้อภายในงานด้วยซ้ำ จะมีก็เพียงแค่สินค้าบางรายการที่ดูเหมือนจะนำมาลด
จนขาดทุนย้อยยับเพื่อเป็นจุดดึงดูดผู้เขาชมงาน ที่ไม่รู้ความแยบยลในการประชาสัมพันธ์โฆษณา
วิธีการต่างๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นที่รู้จักกันมานาน สำหรับผู้ที่เข้าชมงานอยู่เป็นประจำแต่ที่ยังคง
สามารถใช้อย่างได้ผลทุกๆ ปีก็เนื่องมาจากผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะละเลยสิทธิในการคุ้มครองของตน
คิดแต่เพียง "ก็ของมันถูกจะเอาอะไรมาก" จึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ต้มตุ๋นหลอกลวงอย่างโจ่งแจ้งนี้
สามารถนำมุขเดิมๆ มาหากินอยู่ได้เป็นประจำทุกๆ ปี
วิธีการหลักๆ ที่ใช้กันอยู่เป็นประจำทุกปีก็คือ การโฆษณารายการสินค้าที่ลดราคาอย่างหน้าใจหาย
ภายในงาน เป็นต้นว่า 50% ของราคาปรกติลงในใบปลิว ป้ายโฆษณา และสื่อต่างๆ โดยส่วนใหญ่
มักจะเขียนเงื่อนไขที่ไม่มีความชัดเจนลงไปด้วย เช่น
"สินค้ามีจำนวนจำกัด"
"การใช้ส่วนลดเป็นไปตามเงื่อนไขของโปโมชั่นในงาน"
"ลดทันที xx,xxxx บาท (พิมพ์ตัวเล็กๆว่า) *เฉพาะรุ่นที่ร่วมรายการ"
หากลองพิจารณาดูแล้วเงื่อนไขที่กล่าวมาสามารถบ่งชี้ถึงความแนบเนียนในการปกปิดเงื่อนไขที่แท้จริง
ภายในงานเป็นต้นว่า
- สินค้าอาจมีเพียง 1 ชิ้นภายในงานก็ไม่ผิดกับเงื่อนไขที่เขียนไว้ในโฆษณา
- มีส่วนลดแต่ไม่รู้กี่ % ไปเสี่ยงดวงในงานกันเอาเอง
- ลดแน่ xx,xxx บาทแต่รุ่นไหนหาเอาเอง
และอีกมากมายที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามอารมณ์ของผู้จัดงานโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าโดยใช้
กลยุทธ์การโฆษณาซ้อนเงื่อนเพื่อให้สามารถซ่อนความจริงที่ปิดไม่มิดได้ก่อนงานเริ่ม
4.กลยุทธ์สะสมแต้ม
ในบรรดารายการส่งเสริมการขายของห้างร้านต่างๆ
ที่นิยมเป็นมหาอมตะนิรันดร์กาลกับทุกกิจการตั้งแต่สินค้าและบริการ จะต้องมีบริการเสริมอย่างหนึ่ง ก็คือ การสะสมแต้ม
การสะสมแต้ม ประยุกต์มาจากการจ่ายเงินปันผลจากยอดซื้อของสมาชิกกลุ่มสหกรณ์
โดยผู้เข้าร่วมแคมเปญของห้างร้านใดก็ตาม ต้องสมัครเป็นสมาชิกแคมเปญนั้นๆ ก่อน
จะเสียค่าสมาชิกหรือสมัครฟรีก็ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าหรือบริการนั้นๆ
ในกรณีที่ต้องเสียเงินค่าสมัคร ก็มักได้รับเงินคืนมาในรูปของคูปองเงินสด
ซึ่งหากจะดึงดูดใจผู้สมัคร คูปองเงินสดควรมีมูลค่ามากกว่าเงินค่าสมัคร
หลักการง่ายๆ ของการสะสมแต้มที่เกี่ยวข้องกับการซื้อโดยตรง
ถือเป็นกลยุทธ์วัดผลยอดซื้อได้ค่อนข้างชัดเจนทีเดียว เพราะยิ่งซื้อมาก
ก็มีโอกาสได้แต้มมาก จึงเป็นที่มาของคำเรียกว่า “สะสมแต้ม” ส่วนจะซื้อเท่าไรได้แต้มเท่าไร แต่ละธุรกิจก็กำหนดแตกต่างกันไป
หากแต้มได้มาง่าย จำนวนแต้มที่จะไปแลกของรางวัลก็จะค่อนข้างสูง แต่หากแต้มได้มายาก
จำนวนแต้มที่จะนำไปแลกของรางวัลก็จะน้อยลงมา
“สะสมแต้ม” ถูกนำไปใช้ในธุรกิจที่หลากหลายประเภทในปัจจุบัน ทั้งธุรกิจด้านอุปโภค
บริโภค หรือแม้แต่ธุรกิจบริการก็สะสมแต้มได้
สายการบินแทบจะทุกสายมีการสะสมแต้ม ที่เรียกกันว่า “สะสมไมล์” บางสายการบินจับมือรวมกลุ่มกัน
สมาชิกแคมเปญบินกับสายการบินใดก็ได้ในกลุ่ม
ก็สามารถนำแต้มไมล์สะสมมารวมกันเพื่อแลกตั๋วบินฟรีได้
ขึ้นรถไฟฟ้าก็สะสมแต้มได้ แม้แคมเปญ “หนูด่วนพลัส” ที่เพิ่งจะเปลี่ยนเป็น
“แครอท พอยท์” พร้อมบัตรโฉมใหม่ “แรบบิทการ์ด” ต่อให้เพิ่มสิทธิประโยชน์อย่างไร
แต่หลักการยังเป็นเรื่องของสะสมแต้มเหมือนเดิม
ส่วนร้านค้าปลีกอย่าง 7-11
มีรายการสะสมแสตมป์เพื่อนำมาแลกของหรือใช้แทนเงินสดในการซื้อของ
คนที่ไม่เคยซื้อของ 7-11 ก็กระหน่ำซื้ออย่างเอาเป็นเอาตาย
เพื่อให้ได้แสตมป์สะสมครบตามที่กำหนดไว้ แล้วนำไปแลกของ
หรือใช้แทนเงินสดในการซื้อของ
บิ๊กซี และโลตัส
ให้ลูกค้าสะสมยอดซื้อแล้วแปลงเป็นแต้ม ก่อนนำแต้มไปแปลงเป็นคูปองเงินสด
ทางด้าน บู๊ทส์ และวัตสัน ให้ลูกค้าสะสมยอดซื้อ
เมื่อได้ครบตามที่กำหนดก็สามารถนำมาใช้แทนเงินสดได้
ขณะที่ห้างสรรพสินค้าทั่วไปก็มีการสะสมแต้ม แล้วนำแต้มมาแลกเป็นของ
แลกเป็นคูปองเงินสด หรือแลกใช้เป็นส่วนลดได้ตามช่วงเวลาที่กำหนดเหมือนกัน
ร้านเช่าวีดิโอ ซีดี ดีวีดี หลายแห่ง
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีคู่แข่งกันหลายร้าน ก็มีสะสมแต้มด้วย เช่าหนังกี่แผ่นได้กี่แต้ม ครบกี่แต้ม ได้ดูหนังฟรี 1 แผ่น
เครื่องสำอางหลายๆ แบรนด์ ก็มีแคมเปญสะสมแต้มให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิก เพื่อนำมาแลกส่วนลด แลกผลิตภัณฑ์
หรือแลกกับการเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับสมาชิก
สองสามปีก่อน คอนแทคเลนส์ยี่ห้อหนึ่งก็มีสะสมแต้ม เมื่อสะสมครบก็นำไปแลกของที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์การใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์
จำพวกผ้าขนหนู กระดาษเช็ดเลนส์แว่นตา ฯลฯ
เสื้อผ้าก็มีการสะสมแต้ม เพื่อนำมาแลกรับส่วนลด
นอกเหนือจากบัตรสมาชิกที่ให้ส่วนลดอยู่แล้ว
สินค้าที่คาดไม่ถึงอย่างเฟอร์นิเจอร์ก็สะสมแต้มได้ เมื่อครบตามกำหนดก็นำมาของจำพวกอุปกรณ์ของใช้ในครัวที่แม้จะชิ้นเล็ก
แต่ราคาก็ไม่ได้เล็กตามไซส์
อุปกรณ์เครื่องเขียน จำพวกกระดาษที่ขายเป็นรีมๆ ก็มีการสะสมแต้ม ซึ่งกลุ่มเป้าหมายน่าจะเป็นบริษัทห้างร้านที่ซื้อครั้งละหลายรีม
เพราะคนปกติที่ซื้อใช้งานเองตามบ้าน คงไม่มีใครซื้อครั้งละมากกว่าหนึ่งรีมแน่นอน
เป็นสมาชิกบัตรเครดิต ก็สะสมแต้มได้ โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรแต่ละรอบบิลนั่นแหละ คือ แต้มที่นำไปสะสม
จะนำไปแลกของรางวัล หรือแลกค่าธรรมเนียมรายปีก็ว่ากันไป
บัตรเครดิตบางแบรนด์จับมือทำแคมเปญสะสมแต้มร่วมกับสายการบิน
สมาชิกสามารถเลือกได้ว่าจะนำแต้มสะสมที่ได้เข้าบัตรเครดิต
หรือจะใช้เป็นไมล์สะสมของสายการบินก็ได้
บัตรเครดิตบางแบรนด์กำหนดเงื่อนไขแปลกๆ
เช่น หากมียอดซื้อสะสมภายในระยะเวลาที่กำหนด นอกจากจะได้แต้มสะสมแล้ว
ก็ยังจะได้เพิ่มวงเงินการจับจ่ายขึ้นไปอีก ตามปกติ
รายการแลกแต้มสะสมกับห้องพักโรงแรมหรือตั๋วเครื่องบินของบัตรเครดิตก็มีจัดอยู่แล้ว
แต่เป็นรายการที่จัดให้เฉพาะสมาชิกผู้ถือบัตรเท่านั้น
5.กลยุทธ์ปากต่อปาก
ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า สื่อออนไลน์ หรือที่เราเรียกกันอย่างคุ้นเคยว่า
Social Network เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากพอสมควร ซึ่งก็เข้าทางการตลาดแบบ Viral ที่อาศัยการบอกต่อโดยใช้สื่อที่เรียกว่า
Social Network นี้เองในการเป็นสื่อกลาง
จะกล่าวได้ว่าการตลาดแบบ Viral นั่นคือ
การที่ผู้ส่งสารได้ไปประสบพบเจอแล้วเกิดอยากบอกต่อหรือแชร์ให้กับคนอื่นทราบ
ข้อดี
1. กระจายตัวได้อย่างรวดเร็ว จากสภาพสังคมในปัจจุบันที่มี
Social Network เป็นสื่อกลางอยู่แล้วทำให้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแพร่กระจายข่าวสาร
ซึ่งถ้าเราวิเคราะห์ดูแล้ว
คนหนึ่งคนอาจมีเพื่อนหลายคนและพอสารได้กระจายไปยังหมู่เพื่อนเหล่านั้น
เพื่อนของผู้ส่งสารก็จะกลายเป็นผู้ส่งสารที่จะนำไปบอกต่อให้กับเพื่อนของพวกเขาอีกทีหนึ่ง
ซึ่งข่าวสารสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น
2. มีน้ำหนักในเรื่องของความน่าเชื่อถือมากกว่าโฆษณารูปแบบอื่นๆ ต้องยอมรับว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เรื่องของปากต่อปากนั้น มีอิทธิพลกับการตัดสินใจมากพอสมควร เช่น
ในการตัดสินใจซื้อสินค้าสักอย่างหนึ่ง ขั้นตอนในการพิจารณาคือ เลือกหายี่ห้อสินค้า
หาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ สอบถามผู้เชี่ยวชาญ
หรือแม้กระทั่งสอบถามคนที่เรารู้จักในกรณีที่บุคคลผู้นั้นเคยใช้ตราสินค้านั้นหรือใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
เพื่อประกอบการตัดสินใจ อย่างในปัจจุบันที่เพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งก็คือ Social
Network เมื่อผู้ใช้ได้ทดลองใช้แล้วนำไปโพสไว้ใน Blog หรือ Social Network เพื่อนของผู้ใช้อาจลองเข้ามาอ่านหรือเปิดดู
รวมถึงได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวสารนั้นๆ
ซึ่งมีความน่าเชื่อถือมากกว่าดูผ่านสื่อหรือโฆษณาจากทางผลิตภัณฑ์นั้นๆโดยตรง
จะเห็นได้ชัดก็อย่างเช่น คลิปวิดีโอบนยูทูบหรือแม้กระทั่งบล็อครีวิวต่างๆ
ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือเว็บไซต์จีบันดอทคอม (Jeban.com)
ที่เจ้าของเว็บเริ่มต้นจากการรีวิวผลิตภัณฑ์โดยที่ตนเองได้ทดลองใช้เอง
หลังๆมาเริ่มมีเจ้าของผลิตภัณฑ์ส่งสินค้ามาให้รีวิว
ซึ่งตัวอย่างดังกล่าวชี้ได้ชัดว่า Viral Marketing นี้
ทำให้ผู้รับสารมีความไว้วางใจและเชื่อในข่าวสารหรือข้อมูลที่ได้รับมา
3. ต้นทุนต่ำ ขอเพียงแต่อาศัยความคิดสร้างสรรค์
และ ทักษะในการคิดและสื่อสาร เพียงเท่านี้
ผู้รับสารก็พร้อมที่จะเป็นผู้ทำหน้าที่กระจายข่าวสารให้คุณได้แล้ว
ข้อเสีย
1. กระจายตัวได้อย่างรวดเร็ว
เหรียญย่อมมีสองด้าน ในการกระจายตัวอย่างรวดเร็วนั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย
เมื่อมีการกระจายตัวอย่างรวดเร็ว อาจไม่มีการกรองข่าวสารก่อนที่จะรับ
ซึ่งถ้าเกิดเป็นข่าวสารที่ไม่ถูกต้องแล้วนั้น ผู้ได้รับข่าวสาร(เป็นจำนวนมาก)
ก็จะได้รับทราบข่าวสารหรือโฆษณาเหล่านั้นในทางที่ผิดๆ
รวมถึงการแสดงความคิดเห็นของผู้ส่งข่าวสาร ซึ่งอาจเป็นการชักนำไปสู่ความเข้าใจผิด
ซึ่งอาจส่งผลอย่างร้ายแรงได้เช่นกัน
2. มักเป็นกระแสหรืออยู่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
ข้อเสียอย่างหนึ่งก็คือ มักเป็นการเล่าขานในช่วงระยะเวลาไม่นาน มาเร็ว
ก็มักจะไปเร็วเสมอ
6.กลยุทธ์โฮมเพจ
บริษัท บิสิเนส
ออนไลน์ จำกัด หรือบีโอแอล (BOL) ผู้ให้บริการข้อมูลบริษัทจดทะเบียนออนไลน์ สัมปทานกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เตรียมยึดตลาดข้อมูลธุรกิจเบ็ดเสร็จ
เปิดบริการจัดทำโฮมเพจ ให้ลูกค้าโฆษณาสินค้าและบริการฟรี ขยายเข้ากลุ่มองค์กรขนาดเล็กถึงกลาง
และลูกค้ารายบุคคล
นางสาวชไมพร อภิกุลวนิช เผย ปีหน้า บีโอแอล
วางเป้าหมายครอบคลุมกลุ่มนักธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง
มุ่งเป้าการเป็นศูนย์ข้อมูลธุรกิจครบวงจร
โดยจัดทำโฮมเพจให้กลุ่มลูกค้าที่อยู่บนฐานข้อมูลได้โฆษณาสินค้าและบริการฟรี
ทั้งนี้ผู้ที่เข้ามาค้นข้อมูลบริษัทจดทะเบียนบนบีโอแอล
จะสามารถเข้าสู่หน้าโฮมเพจของบริษัทฯ นั้นได้อีกด้วย
ทำให้ข้อมูลมีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น เพิ่มเติมจากข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่
ทำให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลธุรกิจได้ครบวงจร ดังนั้นลูกค้าผู้ใช้บริการ www.bol.co.th จะได้รับประโยชน์สูงสุด
เพราะนอกจากจะได้จากได้รับความสะดวกและรวดเร็วในการค้นหาข้อมูลอื่นๆ แล้ว
ยังสามารถติดต่อกับสถานประกอบการที่ลงโฆษณากับเราไว้ได้ทันท่วงที
ทางด้านสถานประกอบการเองก็จะได้รับประโยชน์จากการลงโฆษณาดังกล่าว
นอกจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีโอกาสได้ลูกค้าเพิ่มอีกจำนวนมาก
เนื่องปัจจุบันมีจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบีโอแอลสูงถึง 50,000 คนต่อวัน
บริการโฮมเพจฟรี จะให้พื้นที่ฟรีแก่ลูกค้า จำนวน 1 หน้า เพื่อโฆษณาสินค้าและบริการ
พร้อมระบุรายละเอียดอื่นๆ อาทิ สถานที่ตั้ง และหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อ
เพื่อให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถติดต่อได้ทันที
โดยมีรูปแบบของหน้าโฮมเพจให้ลูกค้าเลือกถึง 5 รูปแบบด้วยกัน
ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายหลักของบีโอแอลคือผู้ประกอบการต่างๆ
โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจขนาดกลางที่ต้องการใช้โฆษณาประชาสัมพันธ์
สามารถใช้บริการฟรีบนบีโอแอลเว็บไซต์ จึงเป็นอีกทางเลือกที่ดีอีกทางเลือกหนึ่ง
นอกจากนี้บีโอแอลยังเปิดให้บริการซื้อ-ขายข้อมูลบริษัทจดทะเบียนผ่านเว็บไซต์
เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้กับลูกค้า
เพราะมองเห็นช่องว่างทางการตลาดที่ลูกค้าไม่สามารถ
ค้นหาข้อมูลกับหน่วยงานของราชการได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันลูกค้าต้องดำเนินธุรกิจแข่งขันกับเวลา
การช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีอาจหมายถึงการเสียผลประโยชน์อย่างมหาศาล
บีโอแอลจึงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้สูงสุด
7.กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด
กลยุทธ์การตลาด-Marketing Strategies
กลยุทธ์การตลาดจะบอกรายละเอียดว่าวัตถุประสงค์ทางการตลาดแต่ละอย่างนั้น
เราจะใช้วิธีการอย่างไร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว
ในขณะที่วัตถุประสงค์ทางการตลาดที่เรากำหนดนั้นต้องมีความเฉพาะกำหนดขอบเขต ต่างๆ
ชัดเจน และเกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมการซื้อของบริโภคนั้น
กลยุทธ์การตลาดกลับมีความหมายกว้างกว่าและจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของแผนตลาด
กำหนดการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของสินค้า (Product Positioning) กลยุทธ์การตลาดและยังจะใช้เป็นกรอบอ้างอิงในการพัฒนาโปรแกรมด้วยส่วนผสมการ
ตลาด (Marketing Mix) อีกด้วย
ธุรกิจสามารถกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ
มากกว่า 1 กลยุทธ์ โดยพิจารณาจากหัวข้อต่างๆ
ดังนี้
1. กลยุทธ์การสร้างตลาดหรือแย่งชิงส่วนตลาด (Build the market or steal market share)
ในการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดในแผนการตลาดนั้น
เราต้องมีการตัดสินใจอย่างชัดเจนว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายยอดขายรวมนั้น
เราจะใช้กลยุทธ์อย่างไร ระหว่างกลยุทธ์การสร้างตลาด (Build the market) และกลยุทธ์แย่งส่วนครองตลาด (Steal share) จากคู่แข่งขัน
2. กลยุทธ์ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และกลยุทธ์เฉพาะท้องถิ่น (National, Regional and Local Marketing
Strategies)
กลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้กิจการตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธ์การตลาดระดับต่างๆ
หรือจะใช้กลยุทธ์แบบผสมผสานระหว่างระดับชาติกับระดับท้องถิ่น
3. กลยุทธ์ฤดูการขาย (Seasonality
Strategies)
กิจการต้องตัดสินใจการใช้งบประมาณการตลาดและโฆษณาให้สอดคล้องกับช่วงการขาย
ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงของปีด้วย
4. กลยุทธ์คู่แข่งขัน (Competitive Strategies)
เมื่อเราพิจารณาแล้วเห็นว่า
คู่แข่งขันโดยตรงของเรามีผลต่อขนาดส่วนครองตลาดที่ลดลง
หรือคู่แข่งก้าวมารุกล้ำตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Unique Positioning) ของเราแล้ว
เราจำต้องพัฒนากลยุทธ์การตลาดเพื่อการแข่งขันในแผนของเรา
5. กลยุทธ์เพื่อตลาดเป้าหมาย (Target Market Strategies)
จากการที่มีการกำหนดตลาดเป้าหมายอย่างชัดเจน
เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายรอง
เราต้องมีการพิจารณาว่าจะเข้าถึงหรือมุ่งเน้นตลาดเป้าหมายเหล่านี้ได้อย่าง ไร
6. กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ (Product Strategies)
การพิจารณาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นจะมีการพิจารณากลยุทธ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
ใหม่ กลยุทธ์ทางการขยายสายผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์การปรับปรุงผลิตภัณฑ์
และกลยุทธ์การเลิกผลิตภัณฑ์ หรือการปรับปรุง
ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอ
การใช้กลยุทธ์เพื่อฟื้นผลิตภัณฑ์ หรือยืดอายุของสายผลิตภัณฑ์
7. กลยุทธ์ตรายี่ห้อ (Branding Strategies)
ธุรกิจจะต้องทำการตัดสินใจเกี่ยวกับชื่อยี่ห้อ
ตรายี่ห้อ เอกลักษณ์หรือตัวบ่งชี้แสดงตัวสินค้า
8. กลยุทธ์การบรรจุภัณฑ์ (Packaging Strategies)
การตัดสินใจรูปแบบบรรจุภัณฑ์และประเภทวัสดุของบรรจุภัณฑ์มักจะใช้กับสินค้า
อุปโภคบริโภคที่พัฒนามาใหม่ หรือเมื่อมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสินค้าใหม่
9. กลยุทธ์ราคา (Pricing Strategies)
เราต้องกำหนดว่าจะตั้งราคาแบบใด
กลยุทธ์ราคาสูง หรือราคาที่สอดคล้องกับตลาดหรือคู่แข่งขัน
หรือตำแหน่งผลิตภัณฑ์ขอสินค้านั้นหรือไม่
10. กลยุทธ์กระจายสินค้า
และการครอบคลุมตลาด (Distribution
of Product/ Coverage Strategies)
การตัดสินใจมีความแตกต่างกัน
ขึ้นกับประเภทของสินค้าว่าเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค หรือสินค้าองค์กร
หรือสินค้าบริการ สินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอุตสาหกรรม
สินค้าองค์กรต้องพิจารณาว่า จะวางจำหน่ายที่จุดใดจึงจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ด้วยรูปแบบของร้านค้า หรือจุดจำหน่ายสินค้าอย่างไร
ธุรกิจค้าปลีกและบริการมักจะตัดสินใจว่า วัตถุประสงค์การตลาดที่ตั้งไว้นั้นจะบรรลุโดยใช้ช่องทางการขายที่มีอยู่หรือ
ไม่ จำเป็นต้องเพิ่มร้านค้าใหม่ๆ หรือช่องทางใหม่ๆ หรือไม่